สิทธา คุ้มวงศ์วาน
University College London

กลับมาพบกันอีกแล้วกับเที่ยวทิพย์ EP. 2 นะครับ หลังจากคราวที่แล้วเรานำเสนอการเดินทางที่ราบรื่น สบายๆ ไปแล้ว วันนี้เราจะมานำเสนอการเดินทางที่วิบากและอย่าหาทำที่สุดครั้งหนึ่ง แต่ต้องขอกล่าวไว้ก่อนว่า Peak District National Park เป็นที่ที่สวยงามมาก และเที่ยวง่ายมาก ถ้าไม่หาทำแบบพวกเรา ดังนั้นบทความนี้ก็จะมาประจานตัวเองด้วยทริปดูแกะสุดน่ารักจาก Kinder Scout ณ Peak District National Park กัน
Peak District National Park นั้นเป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักเดินป่าอยู่แล้ว เพราะอยู่ไม่ไกลจากเมืองใหญ่อย่าง Sheffield, Manchester และ Nottingham และมีธรรมชาติน่าตื่นตาหลากหลายแบบให้เลือกชม เมื่อพวกเราได้ไปพักอยู่แถวๆ Nottingham ก็เกิดอยากไปเยี่ยมชมอุทยานนี้ โดยเพื่อนได้เลือกเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่พาเราไปยังยอด Kinder Scout ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดเขาในอุทยานนี้ ด้วยการที่เส้นทางดูแล้วเดินทางได้ง่าย และไม่ไกลจากที่พักราคาถูก เราจึงเลือกเส้นทางนี้ ต้องเตือนไว้ก่อนว่า Peak District National Park นั้นใหญ่มากและสามารถเข้าได้จากหลายเมือง จึงแนะนำให้เลือกจุดหมายที่จะไปชมก่อนแล้วจึงจองที่พักที่ใกล้ที่สุด มิฉะนั้นจะต้องเดินกันขาลากหลายสิบชั่วโมงแน่ๆ กว่าจะถึงที่หมาย
ครั้งนี้เราเดินทางจาก Nottingham ไปต่อรถไฟที่ Sheffield เพื่อที่จะไปยังเมือง Edale ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พักของเราในครั้งนี้ ก่อนมาเราได้หาข้อมูลมาว่า ที่อุทยานจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ จึงเตรียมเข็มทิศมาด้วยเพื่อใช้ช่วยนำทาง แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าสัญญาณโทรศัพท์จะไม่มีตั้งแต่ที่สถานีรถไฟ! ตอนนั้นที่เราลงจากรถไฟกันก็เกือบหกโมงเย็น พระอาทิตย์ได้ตกดินไปแล้วเพราะเป็นหน้าหนาว เรา เพื่อน และไฟฉายจากโทรศัพท์ พยายามนำทางตัวเองไปเรื่อยๆจนได้เจอแผนที่เมือง เราอ่านแผนที่จนจำทางได้ แล้วเชื่อมั่นในสัญชาตญาณและเข็มทิศ เดินตามถนนที่พาดผ่านทุ่งหญ้ามืดสนิทไปเรื่อยๆกว่าครึ่งชั่วโมง จนมาถึงที่พักได้แบบงงๆ เราพักกันที่ YHA Edale ซึ่งมีที่พักราคาพิเศษให้สำหรับนักศึกษา ด้วยความเหน็ดเหนื่อย เรารีบทำอาหารเย็นกัน ซึ่งก็คือมาม่าใส่แฮม และพักผ่อน เตรียมตัวสำหรับการขึ้นเขาในวันรุ่งขึ้น

เช้าวันต่อมา เราได้เดินกลับมายังจุดขึ้นเขาใกล้ๆสถานีรถไฟอีกครั้ง ทุ่งหญ้ามืดดำที่ดูน่ากลัวกลับกลายเป็นทุ่งหญ้าที่สดใส มีน้องแกะเดินกินหญ้าข้างทาง ลำน้ำไหลเย็นและต้นไม้ริมน้ำทำให้บรรยากาศน่ากลัวเมื่อวานหายไปเลย แล้วเราก็มาถึงจุดขึ้นเขา เราเลือกใช้เส้นทางจาก English Walkingman ตามในลิงก์นี้เลย http://www.walkingenglishman.com/peakdistrict07.htm เมื่อสองปีก่อนเว็บนี้จะอธิบายทางละเอียดมากๆ แต่ตอนนี้เขาอัพเดตลบทิ้งไปหมดแล้ว หากต้องการคำอธิบายเส้นทางละเอียดๆให้ใช้ลิงก์นี้เลย https://www.nationaltrail.co.uk/app/uploads/walk_50.pdf


เราเริ่มเดินทางตามเส้นทางที่ได้จดมา เนื่องจากไม่มีอินเทอร์เน็ต เราได้จดรายละเอียดเส้นทางไว้ว่าต้องเดินไปตรงไหน ต้องเลี้ยวตรงไหน และเดินตามเอา ซึ่งก็เหมือนเกมล่าสมบัติดีที่ต้องหาจุดต่างๆทีละจุดเพื่อทำเควสต่อไป แต่ก็ปนกับความเสียวว่าจะหลงทาง อยากจะบอกทุกคนว่า อย่าหาทำ! เพราะเราเพิ่งมาค้นพบว่าแค่ซื้อเครื่องนำทางที่อ่านไฟล์เส้นทาง .gpx ได้ก็สามารถให้เครื่องนั้นนำทางได้โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต เพราะใช้การส่งสัญญาณผ่าน GPS อย่างเดียว แถมบางยี่ห้อมีแผนที่ใส่มาให้อยู่แล้ว ดูทางได้ง่ายกว่าเดิม ไม่หลงแน่นอน เส้นทางในช่วงแรกจะเป็นฟาร์มแกะสลับกับป่าละเมาะ ฟาร์มนี้เป็นฟาร์มชาวบ้านที่มีมาแต่โบราณ จะใช้หินวางซ้อนกันเป็นรั้วแทนที่จะเป็นรั้วไม้ หินสีดำช่างตัดกับแกะสีขาวและหญ้าสีเขียวดียิ่งนัก เราจะเพลิดเพลินกับน้องแกะที่ทั้งเดินมาใกล้เราและวิ่งหนีเราอย่างใกล้ชิด แค่จุดนี้ก็ถ่ายรูปเพลินๆไปได้เกือบชั่วโมงแล้ว




เดินมาสักพักเราก็มาถึง Jacob’s Ladder เป็นบันไดหินโบราณที่ถูกสร้างโดยคนเลี้ยงแกะในสมัยก่อน เก่าจนได้รับขึ้นทะเบียนกับ National Trust ที่ตีนบันไดจะเป็นธารน้ำไหล จุดถ่ายรูปที่สวยมากๆจุดหนึ่ง และเมื่อขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ และหันกลับมามอง ก็จะพบกับวิวภูเขาที่สวยขึ้นเรื่อยๆ บันไดสูงมาก หลายร้อยขั้น เราทึ่งเลยว่าคนสมัยก่อนแบกหินเข้ามาสร้างบันไดยาวขนาดนี้ได้อย่างไร แค่เราเดินขึ้นมาก็แทบจะหอบกินอยู่แล้ว




ที่บนสุดของบันไดจะมีจุดชมวิวและกองหินขนาดใหญ่อยู่ ก็ไม่แน่ใจว่าใช้ทำอะไร แต่ถ่ายรูปออกมาสวยมาก 555 ต่อจากนี้เส้นทางจะลำบากขึ้นแล้ว เพราะจากบันไดหินก็จะเป็นทางดินลาดขึ้นเขาไป วันนั้นฝนตกหนักมาก และเราก็ยังหาทำขึ้นไปต่อ ประกอบกับหมอกหนาจัด ทำให้เสื้อผ้าของเราเปียกโชก เพื่อนๆบางส่วนขอถอนตัวกลับไปรอที่ที่พัก แต่เราก็ยังบ้าไปต่อ อย่าหาทำ!

เราฝ่าฝนขึ้นไปยังจุดที่เรียกว่า Edale Rock เป็นกองหินอัคนีขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตาจากการถูกกัดกร่อนเพื่อแวะทานอาหารกลางวัน ลมและฝนตอนนี้แรงมาก พวกเราต้องหลบอยู่ในซอกหินเพื่อจะกินแซนด์วิชได้โดยไม่ปลิว แต่ก็ยังไม่เข็ด เดินต่อ! หาทำ! เราเดินไปถึงจุดที่มีหมุดปักว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดในยอดเขา เรียกว่า Kinder Low Trig Point ถ่ายรูปให้พอใจแล้วไปต่อ จริงๆแล้วจุดนี้ยังไม่ใช่จุดที่สูงที่สุด แต่เป็นจุดที่สูงที่สุดที่เส้นทางจะพาไปได้ หลังจากจุดนี้ เส้นทางจะกลายเป็นที่ราบขนาดใหญ่ เป็นที่ราบสูงที่เกิดจากหินภูเขาไฟรองรับไว้ทำให้ไม่ถูกกัดกร่อนเป็นเขาแบบที่อื่น เรียกว่า Kinder Plateau เราเดินมาถึงจุดที่เป็นน้ำตก ก็เข้าใจว่ามันคือน้ำตก Kinder Downfall ซึ่งตามแผนที่ จะต้องเลี้ยวขวาที่จุดนี้ แต่ถ้าเลี้ยวขวา มันจะออกนอกเส้นทางเข้าไปในใจกลางที่ราบสูง แต่ถ้าตรงไป ก็จะตรงไปอีกสุดลูกหูลูกตา กลับมาเปลี่ยนไม่ทันแน่ เราตัดสินใจเลี้ยวขวาเข้าไปในใจกลางที่ราบสูงตามที่แผนที่บอก ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่… ผิด! จริงๆ จุดนี้ยังไม่ใช่น้ำตกดังกล่าว แต่แค่เป็นทางน้ำไหลที่น้ำเยอะจากฝนที่ตกลงมาหนัก และเราผู้ไม่รู้ ก็มุ่งหน้าออกนอกเส้นทางตรง เข้าใจกลางที่ราบสูง อย่าหาทำ!



เมื่อเราเดินลึกเข้าไปตามเส้นทางดังกล่าว เราก็พบว่าทางมันยากขึ้นเรื่อยๆ มีต้องปีนขึ้นลง ต้องข้ามลำน้ำ เราก็ยังไปต่อ! อย่าหาทำ! รู้สึกตัวอีกที เราก็มาอยู่ในดง Peat bog แล้ว Peat bog คืออะไร? Peat bog เกิดจากกลุ่มมอสที่ตายทับถมกัน แต่น้ำที่ท่วมขังและความเป็นกรดจากมอสที่สูง ทำให้แบคทีเรียไม่มีออกซิเจน หรือตายจากกรด และไม่สามารถย่อยสลายซากมอสได้ เกิดเป็นซากมอสทับถมขนาดใหญ่ เป็นแหล่งพลังงานชั้นดีที่เอาไปเผาให้ความร้อนได้ หรือนำไปผสมดินทำเกษตรก็งาม เหมือนป่าพรุบ้านเรา แต่ว่าอยู่ในที่สูงเย็น และเต็มไปด้วยมอสแทน แน่นอนว่า จากที่มันเกิดจากน้ำที่ท่วมขัง เราเหยียบไปแต่ละทีก็เหมือนอยู่ในโคลน แค่มันไม่เลอะมือเท่านั้น ซึ่งจริงๆไม่ควรทำนะ เพราะเป็นการทำลายธรรมชาติ แต่เราหลงอยู่ในทุ่งตรงนั้น จะกลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึงเพราะทางตัน ทางเดียวคือมุ่งหน้าต่อไปในทุ่ง Peat bog ที่มองเห็นข้างหน้าได้ไม่เกิน 3 เมตรเนื่องจากหมอกลง ความรู้สึกคือเหมือนอยู่ในเกมที่เป็นพื้นราบ ไม่มีอะไรเลย และมีหมอกแบบ Silent Hill ณ วินาทีที่เรารู้ตัวว่าหลง เราพบว่า ข้างบนนี้ บนจุดที่ราบยอดสุดนี้ มีอินเทอร์เน็ต!! เราจึงเข้า Google Map ทันที แล้วพบว่าเราอยู่ตรงใจกลาง แบบ ใจกลางพอดีของ Kinder Scout ถ้าเดินกลับทางเก่าก็จะอ้อมและลงไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินแน่นอน เลยตัดสินใจ เดินตัดทุ่ง Peatbog ลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ไปยังตำแหน่งของทางขึ้นเขานั่นเอง



และแล้วเราก็เดินมาจนถึงจุดที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตหายไป เราต้องกลับมาพึ่งเข็มทิศเพื่อเดินลุยต่อไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปเรื่อยๆ เราเดินกัน 2-3 ชั่วโมง โดยที่วิวข้างหน้าเป็นเหมือนรูปข้างบน ไม่มีหุบเขา ไม่มียอดเขา ไม่มีสัญลักษณ์อะไร มีแต่ทุ่งและหมอก เราคิดว่าถ้าเราลงไปไม่ทันพระอาทิตย์ตก คงหนาวตายกันอยู่ข้างบนด้วยตัวที่เปียกโชกจากพายุ เราไม่น่าดื้อออกมานอกทางเลย และแล้วฟ้าก็เป็นใจ! เราพบเส้นทางเดินที่เป็นทางปกติ! เรารีบเดินตามทางนั้นไป ไม่รู้ว่ามันจะพาไปไหน แต่ต้องพาไปที่ที่มีคนอยู่แน่ๆ แม้จะเป็นเส้นทางเดินปกติ แต่ก็ยากลำบาก ต้องไต่ผา เดินทางที่แคบแค่ 1 ฟุต และขึ้นลงเขา จนเรามาสุดที่ปลายทาง! มันเป็นทางตัน… เบื้องหน้าก็มีแต่หุบ เราเริ่มหมดหวัง แต่เมื่อมองไปข้างล่างหุบ เราพบกลุ่มคน! กลุ่มคนกำลังเดินกลับบ้าน! เรารีบวิ่งลงหุบและตามคนกลุ่มนั้นไปอย่างดีใจ เขาก็งงว่าทำไมพวกนี้ดีใจอะไรกัน แล้วเราก็ลงมาถึงจุดที่เป็นทางขึ้นเขาพอดี! ต้องขอบคุณเข็มทิศที่พาเรากลับมาถึงจุดนี้ได้


ในที่สุดพวกเราก็กลับลงมาที่เมือง Edale ได้และกลับไปยังที่พักโดยสวัสดิภาพ เป็นประสบการณ์ที่เรียกได้ว่ารอดตายฉิวเฉียด ถ้าเราใช้เข็มทิศไม่เป็น คงได้หนาวตายอยู่ข้างบนกลางพายุไปแล้ว วิชาลูกเสือช่วยเราไว้จริงๆ เรื่องนี้สอนให้ทุกคนรู้ไว้เลยว่า อย่าหาทำ!!
หากเพื่อนๆคนไหนอยากมาเดินขึ้นเขาที่นี่ ขอแนะนำนะ มันสวยมากๆ บรรยากาศดีมากๆ และไม่อันตรายเลยหากฝนไม่ตก ถ้าเพื่อนๆศึกษาสภาพอากาศดีๆก่อนมา หรือหาข้อมูลมาดีๆ ก็จะไม่พลาดแบบเรา หวังว่าการหลงป่าครั้งนี้ของเราจะเป็นบทเรียนให้เพื่อนๆไม่หลงแบบเรานะ แล้วมาพบกันใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
คำแนะนำ
ช่วงเวลา: อย่าไปหน้าหนาวเด็ดขาด!! เพราะหมอกจะลงจัดและอาจหลงทางได้แบบเรา และจะมีพายุฝนเข้าเยอะมาก ซึ่งทำให้ทางลาดที่เป็นโคลนลื่นและอันตรายมาก แนะนำให้ไปหน้าร้อนที่ทัศนวิสัยโล่ง นอกจากจะปลอดภัย ยังได้รูปหินสวยๆอีกมากมายที่อยู่บนเขาอีกด้วย
การเดินทาง: แนะนำให้ไปกันหลายคนและอย่าแยกไปคนเดียวเพื่อป้องกันการหลงทาง เตรียมอาหารและน้ำสำรองไว้จำนวนมาก เพราะไม่มีร้านค้าบนเขา ควรไปถึงที่พักในเวลากลางวัน และเผื่อเวลาเดินขึ้นเขาให้กลับมาทันพระอาทิตย์ตกดิน เส้นทางทั้งหมดใช้เวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมงในการเดินทาง จึงควรรีบขึ้นเขาแต่เช้าและรีบกลับลงมา
การเตรียมตัว: ให้จดบันทึกข้อมูลเส้นทางสำคัญแยกไว้ในสมุด เพื่อป้องกันโทรศัพท์แบตเตอรี่หมดระหว่างทางจากอากาศที่เย็น และอย่าลืมซื้อและฝึกใช้เข็มทิศก่อนไป เพราะจะเป็นเครื่องนำทางสำคัญ หากมี GPS Navigator ให้นำติดตัวไปด้วยเพื่อบอกทาง
การแต่งกาย: ใส่เสื้อหนาวกันน้ำเพราะอากาศสามารถเย็นได้ถึงต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส และมีหมอกลง ต้องใส่กางเกงขายาวกันหญ้าบาดและรองเท้ากันน้ำเพื่อที่จะเดินบน Peatbog ได้โดยไม่เปียกหากจำเป็น และควรเตรียมถุงมือเพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นหิน หากจับโดยตรงอาจบาดเจ็บจากความแหลมคมของหินได้
ร่วมส่งบทความเป็นส่วนหนึ่งของสามัคคีสาร
คุณเองก็สามารถเผยแพร่บทความของตนเองในสามัคคีสารได้ ขอเพียงคุณมีใจรักการเขียน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นโยบายการส่งบทความของสามัคคีสาร แล้วอย่าลืมส่งบทความกันเข้ามาเยอะๆ นะคะ